ความสำคัญของการรัดสินค้าที่มั่นคงตามกฎหมายและความปลอดภัยในการขนส่ง
ยกตัวอย่างความเสียหายที่เกิดจากการใช้สายรัดผิดประเภทหรือชำรุด
สายรัดแบบมีกลไกล็อก (Ratchet Strap / สายรัดก๊อกแก๊ก):
คุณสมบัติเด่น: ให้แรงดึง (Tensioning) สูงสุด เหมาะสำหรับสินค้าน้ำหนักมาก (เช่น เครื่องจักร, วัสดุก่อสร้าง)
วัสดุ: ส่วนใหญ่ผลิตจากโพลีเอสเตอร์ (Polyester) ที่ทนทานต่อแรงกระแทกและสภาพอากาศ
สายรัดแบบหัวเข็มขัดเบี้ยว (Cam Buckle Strap):
คุณสมบัติเด่น: ใช้งานง่าย รวดเร็ว เหมาะสำหรับสินค้าน้ำหนักเบาหรือเปราะบางที่กลัวการขันแน่นเกินไป (Over-tensioning) (เช่น จักรยาน, เฟอร์นิเจอร์เบา)
สายรัดคอมโพสิต (Composite Strapping):
คุณสมบัติเด่น: ความแข็งแรงสูง ทนต่อสนิมและความยืดหยุ่นสูง เหมาะสำหรับรัดพาเลทหรือสินค้าขนาดใหญ่
ประเมินน้ำหนักและขนาดของสินค้า:
ความกว้างและแรงรับน้ำหนัก (Max Load / Tonnage): ต้องเลือกสายรัดที่มี ขีดจำกัดการรับน้ำหนัก ที่สูงกว่าน้ำหนักรวมของสัมภาระที่ยึดไว้เสมอ (ตัวอย่าง: สายรัด 2 นิ้ว มีแรงรับได้ตั้งแต่ 2 ตัน, 3 ตัน, 5 ตัน หรือมากกว่า)
พิจารณารูปทรงของสินค้า:
สินค้าผิวเรียบ/กล่อง: ใช้สายรัดมาตรฐานได้
สินค้าทรงโค้ง/รูปร่างไม่ปกติ: อาจต้องใช้สายรัดหลายเส้นและใช้แผ่นรองเสริม (Corner Protector)
วัสดุของสายรัด: โพลีเอสเตอร์ (Polyester) เป็นที่นิยมเพราะความทนทานต่อรอยขีดข่วนและการดูดซึมน้ำต่ำ
ตรวจสอบก่อนใช้: ต้องตรวจสภาพสายรัด (การฉีกขาด/ชำรุด) และตะขอ/จุดยึด (ต้องแข็งแรง) ทุกครั้ง
จุดยึด (Anchor Point): ตะขอและจุดที่ยึดต้องแข็งแรงและอยู่ในแนวแรงดึงที่เหมาะสม
หลีกเลี่ยงการรัดแน่นเกินไป: การขันแน่นเกินไปอาจทำให้สินค้าหรือสายรัดเสียหายได้
การบำรุงรักษา: ควรตรวจสอบความตึงของสายรัดเป็นระยะ (เช่น ทุก 50-100 กม.) ระหว่างการขนส่ง
supertruckthailand

| หน้าที่เข้าชม | 1,339,229 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 853,867 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 7 ม.ค. 2559 |
| ร้านค้าอัพเดท | 25 ต.ค. 2568 |