ระบบไฟฟ้ารถยนต์เป็นส่วนสำคัญในการทำงานของระบบควบคุมในรถยนต์ ที่มีการพัฒนาระบบควบคุมเครื่องยนต์ ที่มีการพัฒนาระบบอิเลกทรอนิกส์ให้คลอบคลุมการทำงานของตัวรถยนต์ ทั้งระบบบังคับเลี้ยว ระบบรองรับน้ำหนัก และระบบความปลอดภัย
ฉะนั้นการที่ระบบไฟฟ้าจะสามารถทำงานได้อย่างสมบรูณ์จำเป็นต้องมีการดูแลรักษาอุปกรณ์ไฟต่างๆ ให้ถูกต้อง เรามาดูกันว่า จะต้องดูแลระบบไฟฟ้าในรถยนต์อย่างไรให้การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การดูแลรักษาระบบไฟฟ้ารถยนต์ในส่วนประกอบวงจร
ต้นกำเนิดพลังงาน หรือ แหล่งจ่ายไฟ (แบตเตอรี่)
ตัวนำ (สายไฟ)
ตรวจสอบความแน่นของปลั๊กต่อ และคลิปล็อคต่างๆ ของสายไฟ โดยจะต้องไม่หักงอ หรือถูกกดทับ
อุปกรณ์ป้องกัน (ฟิวส์ และ รีเลย์)
กรณีมีการเสียหายควรเปลี่ยนขนาดของอุปกรณ์ตามขนาดที่ระบุในคู่มือตามค่ามาตราฐาน มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบ และเกิดอัตรายต่อการใช้รถยนต์ได้
อุปกรณ์ควบคุม (สวิตช์)
เมื่อเปิดใช้งานระบบต่างๆ แล้วควรมปิดอุปกรณ์ทุกครั้งหลังการใช้งาน ไม่ควรเปิดสวิตช์ค้างไว้ แล้วใช้การเปิดและปิดด้วยสวิตช์กุญแจแทน เพราะขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ จะมีการกินกระแสไฟฟ้าสูงมากซึ่งอาจมีผลต่อการทำงานและความเสียหายของอุปกรณ์นั้นๆ ทั้งยังเป็นการเพิ่มโหลดให้กับแบตเตอรี่ ขณะสตาร์ทเครื่องยนต์อีกด้วย
อุปกรณ์ใช้งาน (มอเตอร์ หลอดไฟ หรือแตร เป็นต้น)
ควรดูแลให้มีสภาพสมบรูณ์ และจัดการเปลี่ยนให้ได้ตามขนาด เช่น หลอดไฟที่ขาดควรเปลี่ยนวัตต์ (W) ตามขนาดเดิม เพราะถ้าเพิ่มวัตต์ให้สูงขึ้น จะทำให้มีการกินกระแสมากกว่าปกติจนเกิดความร้อนในระบบ ส่งผลให้เกิดการขาดของวงจรได้
กราวด์ (สายดิน)
ตรวจความสกปรกของข้อต่อสายกราวด์ ขันทำความสะอาดและขันจุดลงกราวนด์ทั้งหมดให้แน่น (สายดินที่ตัวถังและแชสซีส์) หมายเหตุ : แชสซีส์และตัวถังรถยนต์เป็นสายกราวนด์ (ขั้วลบ)
การดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์
แบตเตอรี่นับเป็นแหล่งต้นกำลัง หรือแหล่งพลังงานที่สำคัญในรถยนต์ ซึ่งจะมีบทบาทอย่างมากต่อการทำงานของรถยนต์ เนื่องจากจะต้องจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ที่จะทำหน้าที่ให้เครื่องยนต์สตาร์ทติด เช่นระบบจุดระเบิด และ ระบบสตาร์ท (มอเตอร์สตาร์ท) เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วก็ยังคงทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าเลี้ยงอุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ โดยจะรักษาแรงเคลื่อนในระบบไฟชาร์จให้คงที่ เพื่อป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย และรับประจุ กระแสไฟฟ้าที่มีการชาร์จกลับจากออลเทอร์เนเตอร์ (ไดชาร์จ) เพื่อเก็บสำรองประจุไฟฟ้าใช้งาน ในขณะที่เครื่องยนต์ยังไม่ทำงาน
แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์โดยทั่วไปนั้น จะใช้แผ่นตะกั่ว (LEAD) และใช้กรดกำมะถัน (SULFURIC ACID) เป็นส่วนสำคัญของน้ำยา (น้ำกรดแบตเตอรี่) ในแผ่นธาตุบวก และธาตุลบ กับน้ำกรดกำมะถัน เมื่อผสมกันแล้วจะเกิดแรงเคลื่อนที่ขั้วแบตเตอรี่ ดังนั้นเมื่อต่อสายไฟ เมื่อใดก็จะเกิดแรงเคลื่อนที่ขั้วแบตเตอรี่ ดังนั้นเมื่อต่อสายไฟเมื่อใด ก็จะเกิดการไหลของกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ที่เราใช้งาน แล้วมาครบวงจรขั้วลบของแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ แบ่งออกเป็น 2ชนิด ได้แก่
1.แบเตอรี่แบบเปียก จะแบ่งย่อยอีกเป็น 2 แบบ คือ
1.1.แบบที่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ (ประมาณสัปดาห์ละ 1 คั้ง) มีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2 ปี แต่ถ้าดูแลรักษาดีอาจใช้งานได้ถึง 3 ปี
1.2.แบบที่ไม่ต้องดูแลน้ำกลั่น (Maintenance Free) โดยความเป็นจริงที่ต้องเติมน้ำกลั่น แต่ระยะเวลาอาจนานกว่า
2.แบตเตอรี่แบบแห้ง มีอายุการใช้งานประมาณ 5 ปีขึ้นไป
โครงนร้างของแบตเตอรี่ ประกอบไปด้วย
1. ฐานและเปลือกหม้อแบตเตอรี่
2. แผ่นธาตุบวกและแผ่นธาตุลบ
3. แผ่นกั้นและใยแก้ว
4. สะพานรวมแผ่นธาตุ
5. ขั้วต่อเซล (บวกขลบ)
6. ฝาครอบปิดแผ่นเซล
7. ขั้วบวก
8. ขั้วลบ
9. ฝาจุกตรวจขเติมน้ำกลั่น
10. น้ำยา (น้ำกรดแบตเตอรี่)
ข้อควรระวัง
การถอด และ ต่อพ่วงแบตเตอรี่จะต้องปฏิบัติอย่างถูกต้อง มิฉะนั้นอาจจะทำให้แบตเตอรี่ช็อต ระเบิด และเกิดความเสียหาย กับอุปกรณ์ต่างๆภายในรถได้
การถอดแบตเตอรี่ จะต้องถอดขั้วลบออกก่อน แล้วจึงถอดขั้วบวกออกภายหลัง
การใส่แบตเตอรี่ จะต้องใส่ขั้วบวกก่อนแล้วขันให้แน่นแล้วจึงใส่ขั้วลบแล้วขันให้แน่นภายหลัง
การต่อพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์
กรณีที่ไฟอ่อน หรือไฟหมด ต้องนำรถยนต์ที่มีไฟเต็มต่อสายพ่วงบวกเข้าขั้วบวกแบตเตอรี่ กับขั้วบวกแบตเตอรี่รถยนต์ คันที่ไฟอ่อน แล้วนำสายพ่วงลบต่อขั้วลบแบตเตอรี่ของรถยนต์ คันที่ไฟเต็มเข้ากับแชสซีส์ หรือตัวถังของรถยนต์ที่ไฟอ่อน สตาร์ทเครื่องยนต์ตัวรถยนต์ คันที่ไฟเสีย เร่งเครื่องประมาณ 1,000-2,000 รอบ /นาที แล้วจึงสตาร์ทรถยนต์คันที่แบตเตอรี่ไฟอ่อน หลังจากเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้ว ให้นำสายพ่วงออกโดยย้อนลำดับการเชื่อมต่อ
หมายเหตุ : รถที่จะนำมาพ่วงสตาร์ทจะต้องมีไฟแบตเตอรี่เพียงพอ และจะต้องมีค่าแรงเคลื่อน โวลต์ (V)ที่เท่ากัน
CR : ISUZU TRUCK TODAY
หน้าที่เข้าชม | 1,335,299 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 849,937 ครั้ง |
เปิดร้าน | 7 ม.ค. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 2 ก.ย. 2568 |